ทำความรู้จักกับเจ้าหมาปอมเมอเรเนียน สุนัขพันธุ์เล็กขนฟู หน้าตาจิ้มลิ้ม น่ารักน่ากอด พร้อมความสง่างามที่ใครเห็นก็หลงรัก
หากใครรักและชื่นชอบสุนัขที่ตัวเล็ก ๆ มีขนฟู ๆ หางเป็นพวง จมูกแหลม ๆ ตาแป๋วเป็นประกาย สุนัขที่ว่านี้ก็คือพันธุ์ปอมเมอเรเนียนนั่นเอง แต่เห็นตัวเล็กบ้องแบ๊วน่ารักแบบนี้ ความจริงแล้วสุนัขปอมเมอเรเนียนมีประวัติความเป็นมาและอีกหลาย ๆ เรื่องที่คุณอาจจะนึกไม่ถึง และในวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับสุนัขพันธุ์นี้กัน
ต้นกำเนิดปอมเมอเรเนียน
ปอมเมอเรเนียน (Pomeranian) เดิมเป็นชื่อแคว้น ปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโปแลนด์และเยอรมนี ในอดีตปอมเมอเรเนียนเคยเป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่ มีน้ำหนักกว่า 15 กิโลกรัม ถูกเลี้ยงไว้ใช้งานเป็นสุนัขลากเลื่อนและเลี้ยงแกะมาก่อน กระทั่งชาวยุโรปเริ่มนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านมากขึ้น พร้อมกับพัฒนาสายพันธุ์ให้ค่อย ๆ มีขนาดตัวที่เล็กลงจนเหลือประมาณ 3 กิโลกรัมอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
นอกจากนี้ครั้งหนึ่งราชินีชาร์ล็อต มเหสีของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ได้นำสุนัขปอมเมอเรเนียนเข้าสู่ประเทศอังกฤษ ซึ่งการปรากฏตัวในฐานะสุนัขของพระราชินีครั้งนี้ ส่งผลให้กลุ่มคนชนชั้นสูงในประเทศอังกฤษเริ่มหันมาสนใจสุนัขสายพันธ์ุนี้กันมากขึ้น ดังนั้นนอกจากการพัฒนาด้านร่างกายแล้ว ยังถูกฝึกกิริยาท่าทางให้ดูมีบุคลิกสมกับเป็นผู้ดีด้วยเช่นกัน อีกทั้งปอมเมอเรเนียนยังเป็นสุนัขตัวโปรดของ สมเด็จพระราชินี วิกเตอเรีย แห่งอังกฤษ เมื่อวันที่พระองค์สิ้นพระชนม์ก็ยังทรงให้มานอนเฝ้าอยู่บนพระแท่นบรรทมจนวินาทีสุดท้าย แถมหลังจากนั้นยังทำให้สุนัขปอมเมอเรเนียนกลายเป็นที่รู้จักและนิยมเลี้ยงไปทั่วโลกอีกด้วย
ลักษณะปอมเมอเรเนียน
ปอมเมอเรเนียน เป็นสุนัขขนาดเล็ก จัดอยู่ในกลุ่มทอย (Toy Group) และตระกูลสปิตซ์ (Splitz) น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ราว ๆ 1.3-3.17 กิโลกรัม ความสูงประมาณ 7-12 นิ้ว อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 12-16 ปี มีลักษณะสายพันธ์ุดังนี้
-
ศีรษะ :
มีความสมดุลกับลำตัว จมูกยาว ปลายจมูกเชิด กะโหลกด้านบนกลม ใบหูเล็กและตั้งตรง ตาสีดำ มีแววตาสดใส ขอบตากับจมูกสีดำ ฟันสบกันแบบกรรไกร แต่อาจมีฟันซี่ใดซี่หนึ่งไม่ตรงกันก็ได้
-
ลำตัว :
มีคอสั้นติดกับไหล่ ลำตัวกะทัดรัดสมดุลกันตลอดทั้งตัว ขาหน้าขนานกับความสูงจากศอกถึงเข่า เท้าได้รูปไม่บิดเบี้ยว มีกล้ามเนื้อปานกลาง และมีหางเป็นพวงขนานไปกับส่วนหลัง
-
ขน :
ปอมเมอเรเนียนมีขนสองชั้น ขนชั้นนอกจะมีความหยาบกว่าชั้นใน เพื่อใช้ป้องกันลำตัว โดยขนบริเวณส่วนหน้า ได้แก่ ไหล่กับอก จะมีขนเยอะกว่าช่วงหัวและขา มีทั้งขนสีดำ น้ำตาล สีทองอมส้ม สีผสม ไปจนถึงสีขาวล้วน
นิสัยปอมเมอเรเนียน
ปอมเมอเรเนียนมีความว่องไว ปราดเปรียว อยากรู้อยากเห็น และตื่นตัวอยู่เสมอ สามารถเลี้ยงในบ้านที่มีเด็ก หรือเลี้ยงรวมกับสัตว์ตัวอื่นได้ แต่ต้องให้เวลาปรับตัวเข้าหากันสักพักในช่วงแรก หากเลี้ยงรวมกับสุนัขขนาดใหญ่ควรดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะร่างกายของสุนัขปอมเมอเรเนียนค่อนข้างบอบบาง อาจเกิดการบาดเจ็บได้
วิธีเลี้ยงและการดูแล
เนื่องจากปอมเมอเรเนียนมีขนที่หนาและแน่น ดังนั้นจึงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดและควรดูแลเป็นพิเศษ โดยการหมั่นแปรงขนทุกวันหรืออย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อไม่ให้ขนพันกัน รวมถึงการตัดเล็บและดูแลใบหู พร้อมทั้งหมั่นอาบน้ำให้สะอาด แต่ไม่ควรอาบบ่อยจนเกินไป เพราะจะทำให้น้ำมันบนผิวหนังถูกชำระล้างออกไป ซึ่งอาจส่งผลให้ขนกับผิวหนังแห้งได้ นอกจากนี้ควรดูแลและทำความสะอาดฟันด้วย เพื่อลดปัญหาฟันผุหรือโรคในช่องปาก
โรคที่ควรระวัง
สุนัขแต่ละพันธุ์ล้วนมีโรคประจำที่แตกต่างกันออกไป และสุนัขปอมเมอเรเนียนก็เช่นเดียวกัน โดยมี 4 โรคที่คนเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ควรระวังไว้ดังต่อไปนี้
-
โรคลูกสะบ้าเคลื่อน :
เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในสุนัขปอมเมอเรเนียน โดยจะมีอาการเจ็บบริเวณเข่า รักษาได้ด้วยการผ่าตัด แต่อย่างไรก็ตาม สามารถป้องกันได้ด้วยการหมั่นดูแลอาหาร ไม่ให้สุนัขมีน้ำหนักเยอะหรืออ้วนจนเกินไป อีกทั้งหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุปูพื้นที่มีผิวสัมผัสลื่น เช่น กระเบื้อง หินแกรนิต หินอ่อน และระวังอย่าให้สุนัขกระโดดลงจากที่สูง
-
โรคหลอดลมตีบ :
โรคที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อสุนัขตื่นเต้นหรือช่วงที่มีอากาศเย็น โดยสุนัขจะเริ่มไอแห้ง ป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีอากาศชื้นหรือร้อนเกินไป หากจะพาไปเดินเล่นควรใช้สายจูงแบบรัดอกแทนปลอกคอหรือโซ่คล้องคอ
-
โรคขนร่วง :
อีกหนึ่งโรคที่พบได้บ่อยในสุนัขปอมเมอเรเนียน เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น โรคไทรอยด์ต่ำ ไรขี้เรื้อน เชื้อรา ซึ่งจะทำให้เกิดจุดดำ ๆ หรือขนร่วงเป็นบริเวณกว้าง หากพบความผิดปกติควรพาไปพบสัตวแพทย์ทันที
-
โรคหนังตาม้วนเข้า :
โรคที่สามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดเท่านั้น และเป็นอีกหนึ่งโรคที่พบได้บ่อยในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนเช่นเดียวกับสุนัขพันธุ์เชา เชา หรือชาเป่ย
หลังจากที่ได้ทำความรู้จักเจ้าสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนกันไปแล้ว ใครหลงใหลในความน่ารักของเจ้าปอมและอยากหามาเลี้ยงสักตัว ก็อย่าลืมศึกษาวิธีเลี้ยงและดูแลกันให้ดีก่อนด้วยล่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : hillspet.com, dogtime.com, purina.co.th และ ivethospital.com