วิธีเลี้ยงแมว กับ 12 เรื่องน่ารู้ก่อนลงมือเลี้ยงเหมียว ครบทั้งการเลือกให้เหมาะสม การดูแลให้ถูกต้อง การป้องกันโรคล่วงหน้า และไขข้อสงสัยคาใจต่าง ๆ
ทุกวันนี้แมวกลายเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมอันดับต้น ๆ ไปแล้ว ด้วยหน้าตาที่น่ารักและนิสัยที่มีเสน่ห์ เลยทำให้ใครต่อใครหลงรักหัวปักหัวปำได้ไม่ยาก ซึ่งถ้าหากใครเพิ่งรู้สึกอยากจะเป็นทาส อยากลองหาแมวมาเลี้ยงสักตัว แต่เริ่มต้นไม่ถูก ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง มาทางนี้เลยค่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมรวบรวมข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับการเลี้ยงแมวมาฝากกันแล้ว
ก่อนจะรับเจ้าเหมียวมาเลี้ยง อยากให้ลองพิจารณาก่อนว่า เราต้องการแมวลักษณะอย่างไร เพศอะไร พันธุ์ใด สีไหน จากนั้นก็เริ่มหาข้อมูลดูว่าเข้ากับไลฟ์สไตล์ของเรามั้ย เพราะบางครั้งตัวที่ชอบอาจจะเข้ากันไม่ได้ โดยมีเคล็ดลับดังนี้
- แมวเด็ก VS แมวโต : แม้แมวเด็กจะน่ารักกว่าและให้ความรู้สึกเหมือนโตมาด้วยกัน แต่ต้องการการดูแลสูงมาก ต้องอยู่ด้วยเกือบตลอดเวลา ต้องคิดให้รอบคอบทุกอย่าง และต้องพาไปหาหมอเพื่อฉีดวัคซีนเป็นประจำ ฉะนั้นจึงไม่เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา คนเดินทางบ่อย หรือคนไม่ค่อยถนัดเลี้ยงสัตว์สักเท่าไร ซึ่งถ้าหากใครรู้ว่าตัวเองไม่ไหว แนะนำให้หันไปเลี้ยงแมวโต หรือแมวอายุ 8 เดือนขึ้นไปจะดีกว่า
- ตัวผู้ VS ตัวเมีย : ความจริงแล้วเพศไหนก็ไม่สำคัญ เพราะถ้าหากจับทำหมันตั้งแต่อายุ 4 เดือน ก็จะช่วยลดปัญหาจากฮอร์โมนลงได้ แต่ถ้าหากไม่ได้ทำหมันก็อาจจะมีอาการ เช่น ตัวผู้ ฉี่เรี่ยราดและส่งกลิ่นเหม็นแรงเพื่อทำอาณาเขต ส่วนตัวเมีย อาจจะติดสัดบ่อย ๆ ทุก ๆ 2 สัปดาห์
- ขนยาว VS ขนสั้น : แมวขนยาวอาจจะดูน่ากอดกว่าแมวขนสั้นหรือแมวไม่มีขน แต่ก็ต้องแลกมากับการดูแลที่สูงเป็นพิเศษ ฉะนั้นนอกจากความชอบและความน่ารักแล้ว ควรพิจารณาถึงเวลาว่าง ค่าใช้จ่าย และพฤติกรรมการดูแลของตัวเองด้วย
- พันธุ์ไหนดี : สามารถเลือกได้ตามความชอบ แต่ต้องหาข้อมูลประกอบให้ดี เพราะแมวแต่ละพันธุ์มีลักษณะนิสัยและการดูแลแตกต่างกันไป เช่น บางตัวชอบอยู่ลำพัง อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ชอบเล่น ชอบกอด บางตัวติดคน อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา และบางตัวร้องบ่อย อาจจะไม่เหมาะกับคนชอบความสงบ เป็นต้น
ซึ่งหลังจากพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็เริ่มเสาะหาแมวมาเลี้ยงได้ โดยส่วนใหญ่มักจะหาจากเพื่อนหรือคนรู้จักก่อน เพื่อให้ได้ประวัติที่ตรงตามจริงที่สุด แต่ก็ต้องแลกมากับการดูแลแบบทั่วไป นอกจากนั้นหลายคนยังนิยมหาจากศูนย์พักพิงสัตว์ เพราะเหมือนเป็นการช่วยเหลือสัตว์โดยตรง แถมเสียค่าใช้จ่ายน้อย แต่อาจจะเลือกไม่ได้มากและต้องสัมภาษณ์จุกจิก ไม่เช่นนั้นอาจจะหาจากพ่อค้า-แม่ค้าที่เพาะพันธุ์ขายโดยเฉพาะเลย ข้อดีคือ ได้ลักษณะที่ตรงตามต้องการ ส่วนข้อเสียคือ ราคาแพง และควรเช็กประวัติให้ดีก่อนโดนหลอก สุดท้ายที่นิยมกันในช่วงหลัง ๆ นี้ก็คือ แมวจรจัด หรือแมวที่หลงมาเอง เพราะบางครั้งแมวก็เป็นฝ่ายเลือกเจ้าของเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะหามาจากไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องอย่าลืมเช็กเรื่องสุขภาพด้วยนะคะ
แมวเป็นสัตว์ที่สามารถเลี้ยงได้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน แต่ถ้าถามว่าจำเป็นต้องพาออกไปข้างนอกเหมือนกับสุนัขมั้ย คำตอบคือไม่จำเป็น เนื่องจากสุนัขเป็นนักล่าที่เน้นการเคลื่อนไหวมากกว่า (ยกเว้นสุนัขตัวเล็ก) ต่างจากแมวที่เป็นนักล่าแบบซุ่มโจมตี อาศัยวิ่งไว ๆ ระยะสั้น ๆ ไม่ได้วิ่งนานหรือวิ่งไกล อีกทั้งยังใช้กระบะทรายในการขับถ่าย จึงพูดได้ว่าไม่จำเป็นต้องพาแมวออกข้างนอก เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงอันตรายจากเห็บ หมัด สิ่งสกปรก หรือแม้กระทั่งสัตว์ใหญ่ตัวอื่นกัด
อย่างไรก็ตาม การพาแมวออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบางครั้งบางคราวก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน เพราะช่วยสร้างความสมดุลทางร่างกายและจิตใจให้กับแมวได้ ทว่าต้องดูแลอย่างใกล้ชิด คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ต้องใส่สายจูงและสายรัดทุกครั้ง และควรฝึกให้ชินตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนสำหรับใครไม่ถนัดจูงออกไปนอกบ้าน แต่ยังอยากให้แมวได้มีชีวิตภายนอกบ้าง อาจจะทำกรงให้วิ่ง ทำบันไดให้กระโดดบริเวณนอกบ้านก็ได้ แต่ต้องไม่ลืมยึดโครงสร้างให้แน่นหนา ใช้มุ้งลวดที่แข็งแรงสำหรับกลางแจ้ง และปิดหลังคาให้มิดชิดด้วย
1. การเลือกแมวให้เหมาะกับตัวเอง
ก่อนจะรับเจ้าเหมียวมาเลี้ยง อยากให้ลองพิจารณาก่อนว่า เราต้องการแมวลักษณะอย่างไร เพศอะไร พันธุ์ใด สีไหน จากนั้นก็เริ่มหาข้อมูลดูว่าเข้ากับไลฟ์สไตล์ของเรามั้ย เพราะบางครั้งตัวที่ชอบอาจจะเข้ากันไม่ได้ โดยมีเคล็ดลับดังนี้
- แมวเด็ก VS แมวโต : แม้แมวเด็กจะน่ารักกว่าและให้ความรู้สึกเหมือนโตมาด้วยกัน แต่ต้องการการดูแลสูงมาก ต้องอยู่ด้วยเกือบตลอดเวลา ต้องคิดให้รอบคอบทุกอย่าง และต้องพาไปหาหมอเพื่อฉีดวัคซีนเป็นประจำ ฉะนั้นจึงไม่เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา คนเดินทางบ่อย หรือคนไม่ค่อยถนัดเลี้ยงสัตว์สักเท่าไร ซึ่งถ้าหากใครรู้ว่าตัวเองไม่ไหว แนะนำให้หันไปเลี้ยงแมวโต หรือแมวอายุ 8 เดือนขึ้นไปจะดีกว่า
- ตัวผู้ VS ตัวเมีย : ความจริงแล้วเพศไหนก็ไม่สำคัญ เพราะถ้าหากจับทำหมันตั้งแต่อายุ 4 เดือน ก็จะช่วยลดปัญหาจากฮอร์โมนลงได้ แต่ถ้าหากไม่ได้ทำหมันก็อาจจะมีอาการ เช่น ตัวผู้ ฉี่เรี่ยราดและส่งกลิ่นเหม็นแรงเพื่อทำอาณาเขต ส่วนตัวเมีย อาจจะติดสัดบ่อย ๆ ทุก ๆ 2 สัปดาห์
- ขนยาว VS ขนสั้น : แมวขนยาวอาจจะดูน่ากอดกว่าแมวขนสั้นหรือแมวไม่มีขน แต่ก็ต้องแลกมากับการดูแลที่สูงเป็นพิเศษ ฉะนั้นนอกจากความชอบและความน่ารักแล้ว ควรพิจารณาถึงเวลาว่าง ค่าใช้จ่าย และพฤติกรรมการดูแลของตัวเองด้วย
- พันธุ์ไหนดี : สามารถเลือกได้ตามความชอบ แต่ต้องหาข้อมูลประกอบให้ดี เพราะแมวแต่ละพันธุ์มีลักษณะนิสัยและการดูแลแตกต่างกันไป เช่น บางตัวชอบอยู่ลำพัง อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ชอบเล่น ชอบกอด บางตัวติดคน อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา และบางตัวร้องบ่อย อาจจะไม่เหมาะกับคนชอบความสงบ เป็นต้น
ซึ่งหลังจากพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็เริ่มเสาะหาแมวมาเลี้ยงได้ โดยส่วนใหญ่มักจะหาจากเพื่อนหรือคนรู้จักก่อน เพื่อให้ได้ประวัติที่ตรงตามจริงที่สุด แต่ก็ต้องแลกมากับการดูแลแบบทั่วไป นอกจากนั้นหลายคนยังนิยมหาจากศูนย์พักพิงสัตว์ เพราะเหมือนเป็นการช่วยเหลือสัตว์โดยตรง แถมเสียค่าใช้จ่ายน้อย แต่อาจจะเลือกไม่ได้มากและต้องสัมภาษณ์จุกจิก ไม่เช่นนั้นอาจจะหาจากพ่อค้า-แม่ค้าที่เพาะพันธุ์ขายโดยเฉพาะเลย ข้อดีคือ ได้ลักษณะที่ตรงตามต้องการ ส่วนข้อเสียคือ ราคาแพง และควรเช็กประวัติให้ดีก่อนโดนหลอก สุดท้ายที่นิยมกันในช่วงหลัง ๆ นี้ก็คือ แมวจรจัด หรือแมวที่หลงมาเอง เพราะบางครั้งแมวก็เป็นฝ่ายเลือกเจ้าของเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะหามาจากไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องอย่าลืมเช็กเรื่องสุขภาพด้วยนะคะ
2. การเลือกเลี้ยงแมวในบ้านหรือนอกบ้าน
แมวเป็นสัตว์ที่สามารถเลี้ยงได้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน แต่ถ้าถามว่าจำเป็นต้องพาออกไปข้างนอกเหมือนกับสุนัขมั้ย คำตอบคือไม่จำเป็น เนื่องจากสุนัขเป็นนักล่าที่เน้นการเคลื่อนไหวมากกว่า (ยกเว้นสุนัขตัวเล็ก) ต่างจากแมวที่เป็นนักล่าแบบซุ่มโจมตี อาศัยวิ่งไว ๆ ระยะสั้น ๆ ไม่ได้วิ่งนานหรือวิ่งไกล อีกทั้งยังใช้กระบะทรายในการขับถ่าย จึงพูดได้ว่าไม่จำเป็นต้องพาแมวออกข้างนอก เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงอันตรายจากเห็บ หมัด สิ่งสกปรก หรือแม้กระทั่งสัตว์ใหญ่ตัวอื่นกัด
อย่างไรก็ตาม การพาแมวออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบางครั้งบางคราวก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน เพราะช่วยสร้างความสมดุลทางร่างกายและจิตใจให้กับแมวได้ ทว่าต้องดูแลอย่างใกล้ชิด คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ต้องใส่สายจูงและสายรัดทุกครั้ง และควรฝึกให้ชินตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนสำหรับใครไม่ถนัดจูงออกไปนอกบ้าน แต่ยังอยากให้แมวได้มีชีวิตภายนอกบ้าง อาจจะทำกรงให้วิ่ง ทำบันไดให้กระโดดบริเวณนอกบ้านก็ได้ แต่ต้องไม่ลืมยึดโครงสร้างให้แน่นหนา ใช้มุ้งลวดที่แข็งแรงสำหรับกลางแจ้ง และปิดหลังคาให้มิดชิดด้วย
3. ความต่างระหว่างอาหารแมวทำเองกับอาหารแมวสำเร็จรูป
เราสามารถให้อาหารแมวได้ 2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ อาหารแมวทำเอง กับอาหารแมวสำเร็จรูป โดยอาหารแมวทำเอง มีข้อดีคือ เราสามารถตัดสินใจได้ว่าจะใส่อะไรลงไปในนั้น เลือกได้จากที่แมวเราชอบ เลือกได้จากที่แมวเราต้องการ ส่วนข้อเสียคือ ร่างกายแมวมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ หรือไม่มีความรู้ อาจจะทำให้แมวได้รับสารอาหารที่ไม่ถูกต้องและไม่เพียงพอ
ส่วนอาหารแมวสำเร็จรูป อาจจะเสียตรงเราเลือกไม่ได้ทุกอย่าง แต่ก็ดีตรงที่ทุกวันนี้มีหลายแบรนด์ หลายสูตร แถมคัดสรรและปรุงแต่งมาเป็นอย่างดี เหมาะสมกับปริมาณที่แมวต้องการตามแต่ละช่วงวัยและสายพันธุ์ โดยอาหารแมวสำเร็จรูปที่พบเห็นบ่อยมี 2 ประเภท ได้แก่
- อาหารเม็ด (อาหารแข็ง หรืออาหารบด) : ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะราคาไม่แพง ไม่มีกลิ่น เก็บไว้ได้นาน แถมช่วยให้แมวได้เคี้ยว แต่อาจจะไม่อร่อยหรือยั่วยวนใจเท่าไร
- อาหารเปียก (อาหารเหลว) : ได้รับความนิยมรองลงมา ราคาอาจจะแพงขึ้นมาเล็กน้อย แต่กลิ่นหอม อร่อย น่ากิน และมีน้ำเป็นส่วนประกอบด้วย ทว่าหากเปิดแล้วเก็บต่อได้ไม่นาน ทำความสะอาดยาก แถมถ้าแมวกินเหลือต้องรีบทิ้ง เพราะจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเลือกอาหารแมวสำเร็จรูปแบบไหน ควรอ่านฉลากเพื่อเช็กคุณค่าทางสารอาหารก่อนทุกครั้ง และพยายามเลือกให้มีประโยชน์และตรงกับร่างกายแมวของเราที่สุด
4. อาหารการกินของแมว
นอกจากอาหารหลัก ๆ แล้ว แมวสามารถกินอะไรได้ หรือห้ามกินอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ
- แมวกินมังสวิรัติ
หากถามว่าแมวกินมังสวิรัตหรือกินแต่ผักอย่างเดียวได้มั้ย คำตอบคือไม่ได้ เพราะแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ หากไม่ได้กินเนื้อละก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ เนื่องจากร่ายกายของแมวต้องการสารอาหารบางอย่างที่พบเฉพาะในเนื้อสัตว์เท่านั้น เช่น โปรตีน ที่ช่วยในการเจริญเติบโต ทอรีน ที่หากขาดไปสามารถทำให้ตาบอดหรือหัวใจโตไวกว่าปกติได้ และกรดอะราคิโดนิก ที่พบในเนื้อเยื่อสัตว์เท่านั้น แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องให้แมวกินเนื้อดิบแต่อย่างใด เพราะนั่นอาจจะทำให้เกิดโรคได้หลายชนิด ฉะนั้นควรสรรหาอาหารที่ทำมาเพื่อแมวโดยตรงจะดีที่สุด
- แมวกินพืช หรือกินต้นไม้
แมวกินพืช หรือกินต้นไม้ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า บางครั้งสัตว์เลี้ยงอาจจะต้องการสารอาหารบางอย่างในนั้น หรือไม่ก็ทำไปตามสัญชาตญาณ สิ่งที่คนทำให้ได้คือ อาจจะปลูกต้นไม้ที่แมวชอบโดยเฉพาะ หรือไม่ก็กั้นโซนสำหรับต้นไม้ที่ไม่อยากให้แมวเข้าไปยุ่งนั่นเอง
- ขนมแมว
ถ้าได้รับอาหารเพียงพอ ความจริงแล้วร่างกายแมวก็ไม่ต้องการขนมสักเท่าไร เพราะขนมแมวก็เหมือนขนมคน ทำมาเพื่อความอร่อย ไม่ได้เน้นโภชนาการ จึงมีขึ้นเพื่อให้ลิ้มรสเท่านั้น หากให้มากเกินไปอาจจะมีปัญหาเรื่องน้ำหนักและสารอาหารที่ไม่สมดุลได้
- อาหารคน
ความจริงแล้วอาหารคนไม่ได้มีปัญหาหรือส่งผลเสียอะไรกับแมว ยกเว้นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ถ้าหากใครอยากจะให้บ้างบางครั้งก็ได้ แต่ต้องดูเรื่องโภชนาการให้ดี เพราะส่วนใหญ่ในอาหารคนมักจะมีสารอาหารที่แมวต้องการอยู่ไม่ครบถ้วนนั่นเอง
- น้ำ
ร่างกายแมวต้องการน้ำประมาณ 1 ออนซ์ ต่อน้ำหนักตัว 0.45 กิโลกรัม ซึ่งแมวหลายตัวมักจะมีปัญหาเรื่องกินน้ำน้อย จนทำให้เกิดโรคตามมาได้ ดังนั้น ควรพยายามให้แมวกินน้ำบ่อย ๆ ไม่เช่นนั้นอาจจะเสริมด้วยการให้แมวกินอาหารเปียกที่มีน้ำเป็นส่วนผสมอยู่เยอะมากแทนก็ได้
5. การดูแลขนและเล็บแมว
ไม่ว่าจะแมวขนสั้นหรือขนยาว ขนเยอะหรือขนน้อย ต่างก็ต้องการการดูแลขนกันทั้งนั้น สังเกตได้จากการที่พวกมันมักจะเลียขน เลียตัว เพื่อทำความสะอาดอยู่เสมอ ดังนั้น เจ้าของอย่างเราจึงต้องดูแลเพื่อไม่ให้ขนกระจุกรวมกันเป็นสังกะตัง เป็นก้อนขน เป็นแผล หรือหลุดร่วง จนตามมาซึ่งโรคผิวหนังหรือลำไส้อุดตัน ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องโกนขนออก ซึ่งถือเป็นเรื่องแย่สำหรับแมวมาก ๆ
โดยอุปกรณ์ดูแลขนแมวที่ทาสควรมีติดบ้าน ได้แก่ หวีแมว, หวีสเตนเลสแปรงขนแมว, หวีกำจัดหมัดแมว และถุงมือแปรงขนแมว จากนั้นก็พยามหมั่นหวี หมั่นแปรงบ่อย ๆ ต้องใช้ความอดทนสักนิด และต้องฝึกไว้ให้ชินมือ โดยมีเคล็ดลับคือ พยายามทำให้มันสนุกหรือเพลิน นอกจากจะหวีแล้วก็ต้องลูบ ต้องเกา ทำให้เหมียวมีความสุขด้วย ที่สำคัญไม่บังคับหรือไม่ทำให้อึดอัด ไม่ทำแรงมาก ไม่ทำนานเกินไป และไม่จำเป็นต้องทำเสร็จในครั้งเดียว ค่อย ๆ ทยอยทำไปเรื่อย ๆ รู้ว่าเมื่อไรแมวอารมณ์ไม่ดีแล้วก็ควรเลิก เท่านี้ก็จะช่วยให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขแล้ว
ถึงแม้เราจะหวีขนแมวเองได้ แต่ก็ต้องพาไปให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแลบ้างบางครั้ง (โดยเฉพาะแมวขนยาวที่ต้องหวีบ่อยกว่าแมวขนสั้น) เพื่อให้มั่นใจว่าขนแมวเรียงสวย นุ่มฟูอย่างมีประสิทธิภาพจริง ๆ ช่วยลดปัญหาที่อาจจะตามมาในอนาคต และช่วยจัดการปัญหาที่เราทำไม่ได้นั่นเอง ซึ่งในระหว่างที่พาแมวไปหาผู้เชี่ยวชาญก็สามารถปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพื่อเอามาทำที่บ้านต่อไปได้อีกด้วย
ส่วนสำหรับการตัดเล็บแมว จริง ๆ แล้วจะใช้กรรไกรตัดเล็บของคนก็ได้ แต่ถ้าหากมีทุนมากพอก็ควรซื้อกรรไกรตัดเล็บแมวจะดีกว่า โดยขั้นตอนคือ อุ้มแมวนั่งในท่าที่ถนัด พร้อมจับอุ้งเท้าเบา ๆ ค่อย ๆ บีบด้านข้างให้นิ้วและเล็บยื่นออกมา จากนั้นก็ตัดปลายแหลม ๆ ส่วนใส ๆ ออก อย่าตัดให้โดนเล็บสีแดง ทำอย่างนี้ให้ครบทุกนิ้ว แล้วทำอีกข้างก็เป็นอันเสร็จ แต่โปรดจงจำไว้ว่าไม่มีแมวตัวไหนชอบตัดเล็บ ดังนั้น อย่าลืมอดทน ใจเย็น และฝึกพวกมันตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้อย่าลืมเล่นกับอุ้งเท้าเหมียวบ่อย ๆ เพื่อความสนุกสนานและคลายกังวลด้วย
ปกติแล้วเราไม่จำเป็นต้องอาบน้ำให้แมวก็ได้ แต่ถ้าบางครั้งแมวสกปรกมากเกินไป หรือเจ้าของอยากป้องกันเห็บ-หมัด ก็สามารถจับมาอาบได้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ควรฝึกหัดไว้ก่อนตั้งแต่เด็ก ๆ โดยมีวิธีอาบน้ำแมวด้วยตัวเองที่บ้าน คือ
► เจ้าของควรใส่เสื้อผ้าที่ทะมัดทะแมง เปียกได้ เลอะได้ และสวมถุงมือป้องกันรอยข่วน
► ถ้าเป็นไปได้ควรหวีขนแมวให้เรียบร้อยก่อน รวมถึงตัดเล็บเพื่อป้องกันการข่วนร่างกายเจ้าของด้วย
► เตรียมอุปกรณ์ให้ครบถ้วน ทั้งแชมพูสำหรับแมว ผ้าขนหนูผืนใหญ่ หวีและแปรง
► เตรียมสถานที่อาบ ควรเป็นอ่างล้างหน้า อ่างล้างจาน หรือกะละมังขนาดใหญ่ ที่มาพร้อมฝักบัว ก๊อกน้ำ หรือไม่ก็สายยางในตัว
► เปิดน้ำใส่อ่างเอาไว้ก่อน เช็กอุณหภูมิให้เหมาะสม ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป
► ลองอาบน้ำแห้งก่อนด้วยการจับบริเวณคอแมวกดลงเล็กน้อย จากนั้นก็ดูว่ามืออีกข้างสามารถขัดถูบนร่างกายแมวได้ดีแค่ไหน ควรเปลี่ยนมาจับตรงไหนให้ทั่วทั้งตัว (ถ้าเป็นไปได้ควรมีผู้ช่วยอีกคน โดยแบ่งเป็นคนหนึ่งจับแมว อีกคนหนึ่งทำความสะอาด)
► จับแมวลงอ่างที่ใส่น้ำไว้ ทำให้แมวเปียกไล่ตั้งแต่หัวไปจนถึงหาง แล้วก็ทาแชมพูแมวจากหัวไปหางเช่นกัน ค่อย ๆ ถูบนร่างกายเหมือนตอนอาบน้ำแห้ง
► ล้างออกให้สะอาดเกลี้ยงทั้งตัว
► นำผ้าเช็ดตัวห่อแมว แล้วซับน้ำออกจนแห้ง หากแมวทนเสียงของไดร์เป่าผมได้ก็สามารถนำมาเป่าให้แห้งได้อย่างรวดเร็ว
► ถ้าแมวไม่ล้าหรือหงุดหงิดจนเกินไปสามารถหวีขนต่อให้นุ่มฟูสวยงามได้เลย
หากคิดจะเลี้ยงแมวแล้วควรทำบ้านให้ปลอดภัยสำหรับแมวด้วย เนื่องจากแมวเป็นสัตว์ที่มีความอยากรู้อยากเห็นเหมือนกับเด็ก แถมยังตัวเล็กซอกซอนได้ทุกซอกทุกมุม ฉะนั้นต้องเก็บสิ่งของและระวังอันตรายให้ดี เช่น เก็บสารอันตรายให้ไกลจนแมวเข้าไม่ถึง ระวังชายผ้าม่าน มู่ลี่ เพื่อป้องกันไม่ให้แมวพันจนหลุดหรือเกี่ยวคอ เก็บสายไฟ สายโทรศัพท์ ไม่ให้แมวแอบมากัดจนเสียหายและเป็นอันตราย ทางที่ดีซ่อนไว้ใต้พรมหรือหาอะไรมาพรางไว้
นอกเหนือจากนี้พวกน้ำยาทำความสะอาดก็ต้องเก็บให้มิดชิดเหมือนกัน บางชนิดมีกลิ่นหอม อาจล่อให้แมวอยากเข้าไปหา รวมถึงเวลาเช็ดทำความสะอาดบ้าน ทำความสะอาดพื้น ก็ต้องถูออกอีกครั้งไม่ให้สารเคมีติดค้าง เพื่อป้องกันแมวเลียด้วย
สำหรับแมวที่ออกนอกบ้านยิ่งต้องระวังมากเป็นพิเศษ เพราะมันอาจจะกินน้ำที่ค้างอยู่บนสิ่งสกปรก ทำให้ได้รับเชื้อโรคติดมาด้วย หรือไม่ก็อาจจะกินพืชมีพิษที่เราเผลอปลูกไว้ ทางที่ดีหากคิดจะเลี้ยงควรหลีกเลี่ยงการปลูก หรือหลีกเลี่ยงการพาแมวออกนอกบ้าน ให้คิดง่าย ๆ ว่าอะไรก็ตามที่เป็นพิษกับเราก็เป็นพิษกับแมวด้วย และมีเคล็ดลับอยู่ว่า ให้เก็บบ้านให้ปลอดภัยเหมือนกับเลี้ยงเด็กเล็กนั่นเอง
โดยอุปกรณ์ดูแลขนแมวที่ทาสควรมีติดบ้าน ได้แก่ หวีแมว, หวีสเตนเลสแปรงขนแมว, หวีกำจัดหมัดแมว และถุงมือแปรงขนแมว จากนั้นก็พยามหมั่นหวี หมั่นแปรงบ่อย ๆ ต้องใช้ความอดทนสักนิด และต้องฝึกไว้ให้ชินมือ โดยมีเคล็ดลับคือ พยายามทำให้มันสนุกหรือเพลิน นอกจากจะหวีแล้วก็ต้องลูบ ต้องเกา ทำให้เหมียวมีความสุขด้วย ที่สำคัญไม่บังคับหรือไม่ทำให้อึดอัด ไม่ทำแรงมาก ไม่ทำนานเกินไป และไม่จำเป็นต้องทำเสร็จในครั้งเดียว ค่อย ๆ ทยอยทำไปเรื่อย ๆ รู้ว่าเมื่อไรแมวอารมณ์ไม่ดีแล้วก็ควรเลิก เท่านี้ก็จะช่วยให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขแล้ว
ถึงแม้เราจะหวีขนแมวเองได้ แต่ก็ต้องพาไปให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแลบ้างบางครั้ง (โดยเฉพาะแมวขนยาวที่ต้องหวีบ่อยกว่าแมวขนสั้น) เพื่อให้มั่นใจว่าขนแมวเรียงสวย นุ่มฟูอย่างมีประสิทธิภาพจริง ๆ ช่วยลดปัญหาที่อาจจะตามมาในอนาคต และช่วยจัดการปัญหาที่เราทำไม่ได้นั่นเอง ซึ่งในระหว่างที่พาแมวไปหาผู้เชี่ยวชาญก็สามารถปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพื่อเอามาทำที่บ้านต่อไปได้อีกด้วย
ส่วนสำหรับการตัดเล็บแมว จริง ๆ แล้วจะใช้กรรไกรตัดเล็บของคนก็ได้ แต่ถ้าหากมีทุนมากพอก็ควรซื้อกรรไกรตัดเล็บแมวจะดีกว่า โดยขั้นตอนคือ อุ้มแมวนั่งในท่าที่ถนัด พร้อมจับอุ้งเท้าเบา ๆ ค่อย ๆ บีบด้านข้างให้นิ้วและเล็บยื่นออกมา จากนั้นก็ตัดปลายแหลม ๆ ส่วนใส ๆ ออก อย่าตัดให้โดนเล็บสีแดง ทำอย่างนี้ให้ครบทุกนิ้ว แล้วทำอีกข้างก็เป็นอันเสร็จ แต่โปรดจงจำไว้ว่าไม่มีแมวตัวไหนชอบตัดเล็บ ดังนั้น อย่าลืมอดทน ใจเย็น และฝึกพวกมันตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้อย่าลืมเล่นกับอุ้งเท้าเหมียวบ่อย ๆ เพื่อความสนุกสนานและคลายกังวลด้วย
6. การอาบน้ำแมว
ปกติแล้วเราไม่จำเป็นต้องอาบน้ำให้แมวก็ได้ แต่ถ้าบางครั้งแมวสกปรกมากเกินไป หรือเจ้าของอยากป้องกันเห็บ-หมัด ก็สามารถจับมาอาบได้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ควรฝึกหัดไว้ก่อนตั้งแต่เด็ก ๆ โดยมีวิธีอาบน้ำแมวด้วยตัวเองที่บ้าน คือ
► เจ้าของควรใส่เสื้อผ้าที่ทะมัดทะแมง เปียกได้ เลอะได้ และสวมถุงมือป้องกันรอยข่วน
► ถ้าเป็นไปได้ควรหวีขนแมวให้เรียบร้อยก่อน รวมถึงตัดเล็บเพื่อป้องกันการข่วนร่างกายเจ้าของด้วย
► เตรียมอุปกรณ์ให้ครบถ้วน ทั้งแชมพูสำหรับแมว ผ้าขนหนูผืนใหญ่ หวีและแปรง
► เตรียมสถานที่อาบ ควรเป็นอ่างล้างหน้า อ่างล้างจาน หรือกะละมังขนาดใหญ่ ที่มาพร้อมฝักบัว ก๊อกน้ำ หรือไม่ก็สายยางในตัว
► เปิดน้ำใส่อ่างเอาไว้ก่อน เช็กอุณหภูมิให้เหมาะสม ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป
► ลองอาบน้ำแห้งก่อนด้วยการจับบริเวณคอแมวกดลงเล็กน้อย จากนั้นก็ดูว่ามืออีกข้างสามารถขัดถูบนร่างกายแมวได้ดีแค่ไหน ควรเปลี่ยนมาจับตรงไหนให้ทั่วทั้งตัว (ถ้าเป็นไปได้ควรมีผู้ช่วยอีกคน โดยแบ่งเป็นคนหนึ่งจับแมว อีกคนหนึ่งทำความสะอาด)
► จับแมวลงอ่างที่ใส่น้ำไว้ ทำให้แมวเปียกไล่ตั้งแต่หัวไปจนถึงหาง แล้วก็ทาแชมพูแมวจากหัวไปหางเช่นกัน ค่อย ๆ ถูบนร่างกายเหมือนตอนอาบน้ำแห้ง
► ล้างออกให้สะอาดเกลี้ยงทั้งตัว
► นำผ้าเช็ดตัวห่อแมว แล้วซับน้ำออกจนแห้ง หากแมวทนเสียงของไดร์เป่าผมได้ก็สามารถนำมาเป่าให้แห้งได้อย่างรวดเร็ว
► ถ้าแมวไม่ล้าหรือหงุดหงิดจนเกินไปสามารถหวีขนต่อให้นุ่มฟูสวยงามได้เลย
7. การทำบ้านให้ปลอดภัยสำหรับแมว
หากคิดจะเลี้ยงแมวแล้วควรทำบ้านให้ปลอดภัยสำหรับแมวด้วย เนื่องจากแมวเป็นสัตว์ที่มีความอยากรู้อยากเห็นเหมือนกับเด็ก แถมยังตัวเล็กซอกซอนได้ทุกซอกทุกมุม ฉะนั้นต้องเก็บสิ่งของและระวังอันตรายให้ดี เช่น เก็บสารอันตรายให้ไกลจนแมวเข้าไม่ถึง ระวังชายผ้าม่าน มู่ลี่ เพื่อป้องกันไม่ให้แมวพันจนหลุดหรือเกี่ยวคอ เก็บสายไฟ สายโทรศัพท์ ไม่ให้แมวแอบมากัดจนเสียหายและเป็นอันตราย ทางที่ดีซ่อนไว้ใต้พรมหรือหาอะไรมาพรางไว้
นอกเหนือจากนี้พวกน้ำยาทำความสะอาดก็ต้องเก็บให้มิดชิดเหมือนกัน บางชนิดมีกลิ่นหอม อาจล่อให้แมวอยากเข้าไปหา รวมถึงเวลาเช็ดทำความสะอาดบ้าน ทำความสะอาดพื้น ก็ต้องถูออกอีกครั้งไม่ให้สารเคมีติดค้าง เพื่อป้องกันแมวเลียด้วย
สำหรับแมวที่ออกนอกบ้านยิ่งต้องระวังมากเป็นพิเศษ เพราะมันอาจจะกินน้ำที่ค้างอยู่บนสิ่งสกปรก ทำให้ได้รับเชื้อโรคติดมาด้วย หรือไม่ก็อาจจะกินพืชมีพิษที่เราเผลอปลูกไว้ ทางที่ดีหากคิดจะเลี้ยงควรหลีกเลี่ยงการปลูก หรือหลีกเลี่ยงการพาแมวออกนอกบ้าน ให้คิดง่าย ๆ ว่าอะไรก็ตามที่เป็นพิษกับเราก็เป็นพิษกับแมวด้วย และมีเคล็ดลับอยู่ว่า ให้เก็บบ้านให้ปลอดภัยเหมือนกับเลี้ยงเด็กเล็กนั่นเอง
8. การเลือกของเล่นแมว
หลักสำคัญที่สุดในการเลือกของเล่นให้แมว คือ ต้องเลือกที่ปลอดภัยและเหมาะสม หลีกเลี่ยงของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ที่แมวจะกลืนลงไปได้ พวกไหมพรมก็เช่นกัน โดยของเล่นที่แนะนำส่วนใหญ่จะเป็นของที่แข็งแรง โยน ขว้าง แทะ ตะปบ หรือตะครุบ ก็ไม่เสียหาย หรือไม่ก็พวกของเล่นที่มีแคทนิปอยู่ข้างใน ซึ่งจะกระตุ้นให้แมวอยากเล่น แต่ต้องระวังแมวจะพยายามกัดหรือพยายามแทะด้วย นอกจากนี้พวกของเล่นที่ดุกดิกแค่บางส่วน เช่น หนูหางดิ้น ลูกบอลมีกระดิ่ง ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดคือเจ้าของต้องเล่นด้วย หาทางให้มันวิ่ง กระโดด หรือกระโจน แค่เพียงมีลูกปิงปองแล้วโยนเล่นสักหน่อย เหมียวก็พร้อมจะสนุกแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงแมว คือ หาคลินิกใกล้บ้านที่เชื่อถือได้ อาจจะขับรถดูในละแวกใกล้เคียง ค้นหาจากอินเทอร์เน็ต หรือสอบถามเพื่อนบ้าน เพื่อนสนิท ทาสแมวคนอื่นก็ได้ จากนั้นก็ลองเข้าไปพูดคุยปรึกษาเบื้องต้น เช่น กฎกติกาเป็นอย่างไร เปิด-ปิดกี่โมง มีเจ้าหน้าที่มากน้อยแค่ไหน พนักงานใส่ใจมั้ย ราคาเท่าไหร่ เบื้องต้นควรฉีดวัคซีนหรือดูแลอะไรบ้าง เมื่อพูดคุยกันลงตัวแล้วก็ค่อยพาแมวมาดูแล ตรวจสุขภาพ และฉีดวัคซีนตามสมควร ซึ่งต้องบอกเลยว่าวัคซีนเป็นสิ่งจำเป็นมาก แม้จะรักษาโรคไม่ได้ แต่ป้องกันได้ โดยอย่างน้อย ๆ ต้องได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัด หวัดแมว วัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า วัคซีนป้องกันลูคีเมีย และวัคซีนป้องกันเอดส์ เป็นต้น
หลายคนอาจสงสัยว่าเลี้ยงแมวกับทารกหรือเด็กเล็กได้มั้ย คำตอบคือ ได้แน่นอน ทว่าผู้ปกครองต้องเป็นคนสอนลูกตั้งแต่เริ่มต้น แนะนำวิธีเข้าใกล้ วิธีรับมือ และวิธีปฏิบัติต่อสัตว์อย่างอ่อนโยน ซึ่งนี่ก็จะทำให้พวกเขาติดนิสัย มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสัตว์ และรู้จักเคารพสิ่งมีชีวิตอื่นต่อไปในอนาคตด้วย นอกเหนือจากนี้หากเลี้ยงแมวแล้วเกิดตั้งครรภ์ ไม่จำเป็นต้องหาบ้านใหม่ให้แมว หรือย้ายไปเลี้ยงที่อื่นแต่อย่างใด เพราะแค่รักษาความสะอาดและสุขอนามัยพื้นฐานก็สามารถอยู่รวมกันได้อย่างปลอดภัยแล้ว
9. การพาแมวไปหาหมอและฉีดวัคซีน
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงแมว คือ หาคลินิกใกล้บ้านที่เชื่อถือได้ อาจจะขับรถดูในละแวกใกล้เคียง ค้นหาจากอินเทอร์เน็ต หรือสอบถามเพื่อนบ้าน เพื่อนสนิท ทาสแมวคนอื่นก็ได้ จากนั้นก็ลองเข้าไปพูดคุยปรึกษาเบื้องต้น เช่น กฎกติกาเป็นอย่างไร เปิด-ปิดกี่โมง มีเจ้าหน้าที่มากน้อยแค่ไหน พนักงานใส่ใจมั้ย ราคาเท่าไหร่ เบื้องต้นควรฉีดวัคซีนหรือดูแลอะไรบ้าง เมื่อพูดคุยกันลงตัวแล้วก็ค่อยพาแมวมาดูแล ตรวจสุขภาพ และฉีดวัคซีนตามสมควร ซึ่งต้องบอกเลยว่าวัคซีนเป็นสิ่งจำเป็นมาก แม้จะรักษาโรคไม่ได้ แต่ป้องกันได้ โดยอย่างน้อย ๆ ต้องได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัด หวัดแมว วัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า วัคซีนป้องกันลูคีเมีย และวัคซีนป้องกันเอดส์ เป็นต้น
10. เลี้ยงแมวพร้อมเลี้ยงเด็กได้มั้ย
หลายคนอาจสงสัยว่าเลี้ยงแมวกับทารกหรือเด็กเล็กได้มั้ย คำตอบคือ ได้แน่นอน ทว่าผู้ปกครองต้องเป็นคนสอนลูกตั้งแต่เริ่มต้น แนะนำวิธีเข้าใกล้ วิธีรับมือ และวิธีปฏิบัติต่อสัตว์อย่างอ่อนโยน ซึ่งนี่ก็จะทำให้พวกเขาติดนิสัย มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสัตว์ และรู้จักเคารพสิ่งมีชีวิตอื่นต่อไปในอนาคตด้วย นอกเหนือจากนี้หากเลี้ยงแมวแล้วเกิดตั้งครรภ์ ไม่จำเป็นต้องหาบ้านใหม่ให้แมว หรือย้ายไปเลี้ยงที่อื่นแต่อย่างใด เพราะแค่รักษาความสะอาดและสุขอนามัยพื้นฐานก็สามารถอยู่รวมกันได้อย่างปลอดภัยแล้ว
11. เลี้ยงแมวกับสุนัขได้หรือเปล่า
หากเลี้ยงสุนัขอยู่แล้ว อยากจะเลี้ยงแมวทีหลัง ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ว่าต้องไม่ลืมที่จะแนะนำให้สุนัขกับแมวคุ้นเคยกันด้วย ใส่ใจดูแลและระมัดระวังในช่วงแรก ๆ ให้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้แมวถูกไล่ล่า หรือเล่นแรงจนได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่สุนัขทุกตัวที่จะเข้ากันหรือเป็นเพื่อนกับแมวได้ ถ้าพบว่าทั้งสองดูไม่ลงรอยกัน แนะนำว่าให้เลี้ยงแยกจะดีที่สุด ทว่าอย่าลืมให้ความใส่ใจอย่างเท่าเทียมด้วยล่ะ
12. วิธีรับมือเมื่อไม่อยู่บ้านนานหลายวัน
หากทาสจะไม่อยู่บ้านหลายวัน สิ่งที่ควรทำคือ ต้องหาคนมาช่วยดูแลแมว ถ้า 2-3 วันก็อาจจะให้คนมาช่วยให้ข้าวให้น้ำสักแป๊บหนึ่งได้ แต่ถ้านานกว่านั้นควรนำไปฝากไว้บ้านญาติที่คุ้นชินหรือเคยเลี้ยงแมว หรือไม่ก็นำไปฝากเลี้ยงที่โรงแรมแมวจะดีที่สุด แต่ถ้าเป็นไปได้ควรให้แมวอยู่บ้าน และมีคนอื่น เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง เข้ามาช่วยดูแลจะดีกว่า เพราะแมวบางตัวอาจจะไม่ผ่อนคลายเมื่ออยู่แปลกที่หรืออยู่กับคนแปลกหน้าได้
แม้ว่าจะต้องเตรียมตัว เตรียมข้อมูลสักหน่อย แต่ความจริงแล้วการเลี้ยงแมวไม่ยากอย่างที่คิด แนะนำให้ลองหามาเลี้ยงดูสักตัว แล้วจะแฮปปี้แน่นอน !!
ขอบคุณข้อมูลจาก : animals.howstuffworks และ icatcare