
การดูแลหูและโรคช่องหูภายนอกอักเสบ (โรงพยาบาลสัตว์ศาลายามหาวิทยาลัยมหิดล)
เจ้าตูบของคุณมีอาการต่อไปนี้หรือไม่ ....คันหู เกาหูบ่อย และมีขี้หูกลิ่นรุนแรงด้วย !!!
ถ้าคำตอบคือ ใช่ ...น้องหมาของคุณอาจจะกำลังเป็นหูอักเสบก็เป็นได้
สาเหตุของปัญหาหูอักเสบ แบ่งออกเป็น 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่...
1. สาเหตุโน้มนำ

2. สาเหตุหลัก เช่น ปรสิตภายนอก (เช่น เห็บ, หมัด หรือไรขี้เรื้อน), เชื้อโรค (เช่น แบคทีเรีย หรือรา) หรือ การแพ้ต่างๆ เช่น สิ่งสูดดม, อาหาร หรือสิ่งสัมผัส เป็นต้น






การทำความสะอาดช่องหู
ช่องหูของสุนัขและแมวจะลักษณะเป็นท่อรูปตัว L มักมีขนขึ้นมากในช่องหู ต้องถอนออกให้เรียบร้อย
การใช้น้ำยาล้างหู โดยหยอดน้ำยาลงในช่องหูแล้วนวดเบาๆบริเวณโคนหูประมาณ30 วินาที แล้วจึงซับให้แห้งด้วยสำลีสะอาดและใช้ก้านไม้ที่พันด้วยสำลีที่ชุ่มน้ำยาทำ ความสะอาดช่องหู ทำซ้ำกันจนไม่พบว่ามีเศษเนื้อเยื่อ หรือขี้หูหลงเหลืออยู่ในช่องหูอีก หลังจากทำความสะอาดหูแล้ว ปล่อยให้เค้าสะบัดหู หรือสะบัดหัว สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เนื่องจากการเช็ดหูบ่อยเกินไปอาจทำให้เยื่อบุช่องหูระคายเคืองได้
การป้องกันโรคหู
เนื่องจากโดยปกติหูที่มีสุขภาพดีจะมีความสามารถในการป้องกันจากการติด เชื้อจุลินทรีย์นี้ได้ดี แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมในช่องหูมีการเปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากการแพ้ หรือมีความผิดปกติทางฮอร์โมน หรือมีความชื้น เชื้อแบคทีเรียและยีสต์จะสามารถเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี เป็นผลทำให้ไปทำลายกลไกการป้องกันการติดเชื้อที่ร่างมีอยู่ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ทำให้ช่องหูมีสุขภาพดีคือ ความสะอาด ควรตรวจสอบช่องหูของสัตว์เลี้ยงเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
โดยถ้ามีขี้หูเพียงเล็กน้อยถือว่าเป็นสิ่งปกติ แต่ถ้าสัตว์เลี้ยงชอบเล่นน้ำมาก หรือมีใบหูยาวห้อย หรือมีประวัติโรคของช่องหู ควรทำความสะอาดช่องหูเป็นประจำ(2-3 ครั้งต่อสัปดาห์) นอกจากนี้ช่องหูที่มีขนยาวมากก็ควรตัดให้สั้น เพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก การรักษาโรคของช่องหูควรรักษา หรือกำจัดสาเหตุของโรค ซึ่งเป็นเหตุโน้มนำทำให้เกิดปัญหาของช่องหูจึงจะทำให้การรักษาประสบผลสำเร็จ และไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก
การรักษา
การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหาและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น ได้แก่




กรณีปัญหาช่องหูที่เกิดมาจากโรคอื่นๆในร่างกาย เช่น ความผิดปกติทางฮอร์โมน หรือการแพ้ จะต้องให้การรักษาสัตว์ทั้งตัว ไม่เฉพาะแต่ช่องหู เช่น การรักษาการแพ้สิ่งสูดดมนั้น จะต้องตรวจทดสอบการแพ้แล้วพยายามหลีกเลี่ยงสารดังกล่าว หรือการเสริมฮอร์โมนที่ผิดปกติ เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
โรงพยาบาลสัตว์ศาลายามหาวิทยาลัยมหิดล