เปิดเรื่องราวแสนเศร้าของ สุนัขพันธุ์เกรย์ฮาวด์ ในสเปน นักล่าเอามาใช้ล่าสัตว์ เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลก็ทิ้งขว้าง รวมทั้งปล่อยให้ตายในรูปแบบต่าง ๆ เผยแต่ละปี สุนัขเหล่านี้ถูกทิ้งกว่า 50,000 ตัว
ทว่าเมื่อฤดูกาลล่าสัตว์สิ้นสุดลง
เหล่าสุนัขเกรย์ฮาวด์ผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีกับเจ้าของ
กลับได้รับการตอบแทนที่โหดร้ายอย่างที่สุด
เพราะเจ้าของเลี้ยงมันไว้ในระยะเวลาสั้น ๆ แค่เพื่อใช้ประโยชน์เท่านั้น
เมื่อพวกเขาไม่ต้องการมัน สิ่งที่พวกเขาทำคือกำจัดมันทิ้ง และในแต่ละปีนั้น
มีสุนัขเกรย์ฮาวด์ถูกทอดทิ้งในสเปนมากถึงครึ่งแสนตัว
เรื่องราวน่าสะเทือนใจนี้ถูกหยิบยกมารายงานโดยเว็บไซต์เดลี่เมลเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2562 โดยพบว่า กัลเกโรส (ผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์เกรย์ฮาวด์) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในสเปนนั้นมีประมาณ 200,000 คน แต่ละคนมีสุนัขพันธุ์เกรย์ฮาวด์หลายตัว มากสุดถึง 10 ตัว และในแต่ละปี หลังจากฤดูการล่าสัตว์เสร็จสิ้น ชะตากรรมแสนเศร้าของสุนัขเกรย์ฮาวด์ก็เริ่มต้นขึ้น ตูบตัวไหนที่ล่าสัตว์ได้ไม่เก่งก็จะถูกทำโทษ
ท้ายที่สุดทุกตัวก็จะถูกทอดทิ้งในรูปแบบต่าง
ๆ รวมทั้งปล่อยให้นอนรอวันตายอย่างทรมาน โดยในแต่ละปี
มีสุนัขที่น่าสงสารล้มตายลงมากมายหลายพันตัว
ความโหดร้ายนี้เป็นความลับดำมืดของสเปนที่นักท่องเที่ยวไม่เคยพบเห็น
แต่มันเกิดขึ้นมานานมากแล้ว แอนนา
พบเห็นความโหดร้ายนี้และพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง เธอและ
อัลเบิร์ต สามีที่เป็นสัตวแพทย์ ได้ก่อตั้งมูลนิธิ SOS Galgos ขึ้นมา
เพื่อเป็นกระบอกเสียงในการรณรงค์ต่อต้านความโหดร้ายนี้และช่วยเหลือเหล่าสุนัขเกรย์ฮาวด์ที่ถูกทอดทิ้ง
แอนนาเล่าว่า สุนัขเกรย์ฮาวด์มากมายได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้าย พวกมันถูกขังเอาไว้ในห้องใต้ดินมืด ๆ และได้รับอาหารน้อยมาก เพราะเจ้าของต้องการให้มันหิวโหย จะได้มีความกระหายอยากล่าสัตว์มากกว่าปกติ หลังจากฤดูล่าสัตว์จบลง นักล่าก็ไม่สามารถล่าสัตว์ได้อีก เนื่องจากผิดกฎหมาย พวกเขาจึงไม่ต้องการสุนัขล่าสัตว์อีกต่อไป จึงเอาไปปล่อยทิ้ง หรือไม่ก็เอาไปมอบให้กับหน่วยกักกันสัตว์ที่พร้อมฆ่าพวกมันให้ตาย บางตัวตัวถูกโยนทิ้งให้ตายในบ่อน้ำ เช่นเดียวกับเจ้าตูบที่เพิ่งถูกช่วยเหลือมาเมื่อไม่นานมานี้
ภาพจาก จาก Guardia Civil
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แอนนากับทีมงานได้ช่วยเหลือเจ้าตูบน่าเวทนามาเป็นจำนวนมาก
ทั้งพามันไปรักษาอาการเจ็บป่วย ดูแลให้อาหารพวกมัน รวมทั้งหาบ้านใหม่
ให้พวกมันได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง
ทว่าลำพังแค่การช่วยเหลือจากมูลนิธิของแอนนา และองค์กรอื่น ๆ
อย่างเดียวมันไม่เพียงพอ ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานกันอย่างหนักแค่ไหน
แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือสุนัขได้หมดทุกตัว เพราะในแต่ละปี
เมื่อนักล่าทิ้งสุนัขเกรย์ฮาวด์ไปแล้ว พวกเขาก็จะตามหาตัวใหม่ ๆ
มาเลี้ยงเพิ่มเพื่อใช้ในฤดูล่าสัตว์ และทิ้งเพิ่มอีก วนไปแบบนี้
สุนัขจึงถูกทิ้งเพิ่มอยู่เรื่อย ๆ ปัญหาจึงไม่มีที่สิ้นสุด
"เกรย์ฮาวด์เป็นสุนัขที่น่ารัก
พวกมันสุภาพ ว่าง่ายและไม่ดื้อรั้นเลยนะคะ
แต่พวกมันกลับไม่เคยได้รับความรักกลับคืนมา
จนทำให้พวกมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการใส่ใจและความรักคืออะไร
เจ้าตูบมากมายที่รอดชีวิตมาได้
ต่างเจ็บปวดหวาดผวากับประสบการณ์ที่พวกมันได้รับ ทำให้เป็นเรื่องยากมากค่ะ
ที่พวกมันจะเชื่อใจและไว้ใจมนุษย์อีกครั้ง" แอนนา กล่าว
และแม้ว่ากลุ่มนักล่าสัตว์จะเป็นเพียงประชากรส่วนน้อยของสเปน
แต่พวกเขาเหล่านี้ก็สร้างปัญหาใหญ่หลวงที่ส่งผลกระทบต่อประเทศเป็นอย่างมาก
และสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม
ตอนนี้โรงเรียนต่าง ๆ ก็หันมาให้ความรู้กับเด็ก ๆ
ในเรื่องสิทธิของสัตว์แล้ว ก็ได้แต่หวังว่าในอนาคต
ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ภาพจาก เฟซบุ๊ก SOS GALGOS (oficial)
แอนนา เกลเมนต์ส คือหญิงสาวชาวอังกฤษที่ย้ายไปอยู่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน
เธอทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการช่วยเหลือเหล่าสุนัขพันธุ์เกรย์ฮาวด์
(Greyhound) หรือชื่อเรียกในภาษาสเปนว่า กัลโกส (Galgos) ในสมัยก่อน
ขุนนางและชนชั้นสูงชาวยุโรปนิยมเลี้ยงสุนัขรูปร่างปราดเปรียวเหล่านี้เอาไว้ล่าสัตว์
และมันก็ยังคงเป็นสุนัขล่าสัตว์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันอีกด้วย
โดยเฉพาะในประเทศสเปน ฤดูล่าสัตว์ของสเปนจะกินระยะเวลา 4 เดือน
เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม ข้ามไปถึงเดือนกุมภาพันธ์
ในช่วงนี้
เหล่านักล่าที่เป็น กัลเกโรส (Galgueros- ผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์เกรย์ฮาวด์)
จะออกมาล่าสัตว์กันอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ ไก่ฟ้า ไก่ป่า ห่าน และกระต่าย
โดยสุนัขเกรย์ฮาวด์คือผู้มีส่วนช่วยสำคัญในการล่า ทั้งการหลอกล่อ ไล่งับ
และต้อนสัตว์ออกมาให้เจ้าของจัดการ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก SOS GALGOS (oficial)
เรื่องราวน่าสะเทือนใจนี้ถูกหยิบยกมารายงานโดยเว็บไซต์เดลี่เมลเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2562 โดยพบว่า กัลเกโรส (ผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์เกรย์ฮาวด์) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในสเปนนั้นมีประมาณ 200,000 คน แต่ละคนมีสุนัขพันธุ์เกรย์ฮาวด์หลายตัว มากสุดถึง 10 ตัว และในแต่ละปี หลังจากฤดูการล่าสัตว์เสร็จสิ้น ชะตากรรมแสนเศร้าของสุนัขเกรย์ฮาวด์ก็เริ่มต้นขึ้น ตูบตัวไหนที่ล่าสัตว์ได้ไม่เก่งก็จะถูกทำโทษ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก SOS GALGOS (oficial)
แอนนาเล่าว่า สุนัขเกรย์ฮาวด์มากมายได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้าย พวกมันถูกขังเอาไว้ในห้องใต้ดินมืด ๆ และได้รับอาหารน้อยมาก เพราะเจ้าของต้องการให้มันหิวโหย จะได้มีความกระหายอยากล่าสัตว์มากกว่าปกติ หลังจากฤดูล่าสัตว์จบลง นักล่าก็ไม่สามารถล่าสัตว์ได้อีก เนื่องจากผิดกฎหมาย พวกเขาจึงไม่ต้องการสุนัขล่าสัตว์อีกต่อไป จึงเอาไปปล่อยทิ้ง หรือไม่ก็เอาไปมอบให้กับหน่วยกักกันสัตว์ที่พร้อมฆ่าพวกมันให้ตาย บางตัวตัวถูกโยนทิ้งให้ตายในบ่อน้ำ เช่นเดียวกับเจ้าตูบที่เพิ่งถูกช่วยเหลือมาเมื่อไม่นานมานี้
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เมืองโตเลโด
เมืองเอกของแคว้นกัสติยา-ลามันชา ห่างจากกรุงมาดริดไปทางใต้ประมาณ 72
กิโลเมตร โดยผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาแถวบ่อน้ำแห่งหนึ่ง
ได้ยินเสียงร้องครวญครางน่าสงสารของสุนัข เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ
ก็พบเห็นสุนัขนอนอยู่ในน้ำก้นบ่อที่ลึกมาก
เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้เดินทางมาช่วยเหลือมัน
พวกเขาโรยตัวลงไปก้นบ่อและผูกเชือกให้ดึงเจ้าเกรย์ฮาวด์ขึ้นไป
มันเป็นสุนัขเพศเมีย
อยู่ในสภาพเลวร้ายมาก ขาดสารอาหารอย่างรุนแรง เนื้อตัวผอมโซจนเห็นกระดูก
และมีรอยแผลบาดลึกที่บริเวณคอ มันได้รับการดูแลรักษาอย่างดี
และมีคนขอรับมันไปเลี้ยงแล้ว ตอนนี้มันมีความสุขอยู่ในบ้านใหม่อันแสนอบอุ่น
ในฐานะสัตว์เลี้ยงแสนรัก ไม่ใช่เครื่องมือล่าสัตว์ที่พร้อมถูกเขี่ยทิ้ง
ภาพจาก เฟซบุ๊ก SOS GALGOS (oficial)
"กัลเกโรสเคยกำจัดเกรย์ฮาวด์ของพวกเขาด้วยการจับมันแขวนคอกับสะพาน
แต่เดี๋ยวนี้พวกเขาไม่ทำแบบนั้นแล้ว เพราะไม่อยากสร้างภาพลักษณ์แย่ ๆ
ให้กับตัวเอง พวกเขาแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นแทน ซึ่งเลวร้ายไม่แพ้กันค่ะ
ทั้งเอาไปปล่อยตามปั๊มน้ำมัน ตามถนนที่มีรถวิ่งอยู่ตลอด
ให้พวกมันถูกรถชนตายเอง รวมทั้งเอาไปผูกไว้กับรางรถไฟ
กัลเกโรสบางคนถึงขั้นเอาสุนัขเหล่านี้ไปผูกติด ๆ กันบนทางรถไฟมากถึง 20 ตัว
เพราะเมื่อรถไฟมา จะได้แล่นทับพวกมันจนตายไปพร้อม ๆ กัน"
ภาพจาก เฟซบุ๊ก SOS GALGOS (oficial)
แอนนากล่าวอีกว่า
สิ่งที่มูลนิธิของเธอและองค์กรอื่น ๆ ทำ มันเป็นแค่การแก้ปัญหาปลายเหตุ
ทางแก้เดียวที่จะได้ผลมากที่สุดคือ
การออกกฎหมายห้ามใช้สุนัขพันธุ์เกรย์ฮาวด์ในการล่าสัตว์
แต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะการล่าสัตว์ในภูมิภาคนี้เป็นสิ่งปฏิบัติสืบกันต่อมาอย่างยาวนาน
และเป็นที่นิยมอย่างมาก
ผู้คนท้องถิ่นที่ไม่เห็นด้วยจึงไม่ค่อยกล้าออกมาพูดมากนัก
รัฐบาลเองก็ไม่กล้ายื่นมือเข้ามาแก้ปัญหาด้วยเช่นกัน
ภาพจาก เฟซบุ๊ก SOS GALGOS (oficial)
ภาพจาก เฟซบุ๊ก SOS GALGOS (oficial)