x close

ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ สัญลักษณ์แสดงฐานะของเศรษฐีจีน







Tibetan mastiff อีกหนึ่งสัญลักษณ์แสดงความร่ำรวยของเศรษฐีชาวจีน (ข่าวโลกสัตว์เลี้ยง)

          เมื่อเราพูดถึงประเทศจีน สิ่งแรกที่ทุกคนจะนึกถึงคงจะเป็นกำแพงเมืองจีน ซึ่งถือว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก มีระยะทางยาวกว่า 7,000 กิโลเมตร เป็นสิ่งก่อสร้างในกิจการป้องกันทางการทหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก

          แต่จากนี้ไปสิ่งหนึ่งที่จะต้องนึกถึงอีกอย่างหนึ่งเมื่อพูดถึงประเทศจีนก็คือ สุนัขพันธุ์ ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ (Tibetan mastiff) หรือ สุนัขทิเบต ซึ่งปัจจุบันนี้เศรษฐีชาวจีนจัดให้เป็น 1 ใน 3 สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความร่ำรวยที่จะต้องมีไว้ในครอบครอง แตกต่างจากในอดีตชาวจีนที่ต้องการอวดฐานะอันมั่งคั่ง ก็จะหันไปใช้สินค้าฟุ่มเฟือย เช่นการอยู่แมนชั่นสุดหรู หรือใช้รถยนต์ราคาแพง และใช้ของแบรนด์เนม




          ก่อนหน้านี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนเคยสั่งห้ามเลี้ยงสัตว์เลี้ยง แต่วันนี้ ชาวจีนทั้งหลายกำลังอยากจะเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงสักตัว และสุนัขทิเบต ก็กลายเป็น "สัตว์เลี้ยงแห่งยุค" สำหรับผู้ที่ต้องการประกาศความร่ำรวยของตัวเอง นอกเหนือไปจากหุ้นในตลาดหลักทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ โดยปัจจุบันจีนมีเศรษฐีที่ร่ำรวยติดอันดับโลกอยู่ถึง 825,000 คน มากที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของจีน ส่งผลให้ตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าหรูหราราคาแพงในจีนกลายเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นที่หมายปองของบรรดาบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ที่อยากจะเข้าไปเปิดตลาดในประเทศจีนให้ได้

          เมื่อเดือนที่ผ่านมา จีนได้มีการจัดงาน China Tibetan Mastiff Expo ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้นั้นจัดขึ้นเป็นปีที่ 6 แล้ว มีสุนัข ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ หลายร้อยตัวเข้าร่วมงาน และมีการโชว์ตัวของสุนัขราคาแพงของเศรษฐี บนแคทวอล์ค ประมาณว่าเป็นนายแบบหรือนางแบบที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็ไม่ปาน บางตัวได้รับการตั้งชื่อตามมหาเศรษฐีชาวอเมริกันอย่าง "วอร์เรน บัฟเฟต์" (Warren Buffett) ในขณะที่อีกหลายตัวก็ได้รับการตั้งชื่อแสนเลิศว่า "เทพเจ้า" หรือ "เจ้าชาย" และ "ราชา" เป็นต้น





          สำหรับผู้ที่เข้าร่วมงานนี้ ต่างก็ได้รับคำเตือนให้ชื่นชมบรรดาสุนัข ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ อยู่ห่าง ๆ เพราะพวกมันเกลียดคนแปลกหน้า ซึ่งจริง ๆ แล้วพวกมันเหมาะกับการทำหน้าที่เฝ้าปศุสัตว์บนที่ราบสูงทิเบต บ้านเกิดของมัน แต่ทุกวันนี้พวกมันเลื่อนฐานะมาอยู่บ้านเศรษฐี นอนห้องแอร์ กินเนื้อวัวเนื้อไก่ และน้ำแร่ แทนการทำหน้าที่เฝ้าปศุสัตว์ซะแล้ว

          ในงานนี้ นอกจากเศรษฐีต่าง ๆ จะพาสุนัขของตัวเองมาโชว์ตัวแล้ว พวกนักธุรกิจต่างก็พากันนำสุนัขเข้าประกวดเพื่อหวังรางวัล เพราะถ้าชนะการประกวด เงินทองก็จะไหลมาเทมา เพราะถ้าสุนัขได้รางวัลขึ้นมา ราคาค่ารับจ้างผสมพันธุ์แต่ละครั้งจะเพิ่มสูงขึ้นถึงหลายหมื่นดอลลาร์




          อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว มีข่าวฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อผู้หญิงตระกูล Wang คนหนึ่ง ซื้อสุนัขพันธุ์นี้ในราคาเกือบ 6 แสนดอลลาร์ หรือราว 20 ล้านบาท และส่งให้ทางเครื่องบินไปให้ที่เมืองซีอาน มณฑลชานสี ซึ่งเธอไปรับพร้อมขบวนรถเบนซ์ 30 คัน ซึ่งความเห่อสุนัขพันธุ์นี้ของจีนสร้างความแปลกใจให้คนในวงการสุนัขประเทศอื่น รวมทั้ง Martha Feltenstein ประธานสมาคมสุนัขพันธุ์ ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ ของสหรัฐฯ ด้วย โดยเธอบอกว่า เข้าใจถ้าคนรวยจะสะสมเพชรหรือม้าแข่ง แต่ไม่เข้าใจที่เศรษฐีจีนจ่ายเงินกว่าครึ่งล้านดอลลาร์ ซื้อสุนัขตัวเดียว เนื่องจากสุนัขพันธุ์นี้ค่อนข้างอายุสั้น และหาไม่ยาก ในสหรัฐฯ ลูกสุนัข ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ มีราคาขายไม่กี่ร้อยดอลลาร์เท่านั้น

          แต่สำหรับผู้เพาะพันธุ์สุนัขในจีน สุนัข ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ ตัวเต็มวัยสามารถขายได้หลายหมื่นดอลลาร์ บางตัวสามารถถีบราคาขึ้นไปได้มากกว่า 1 แสนดอลลาร์ หรือราว 3.3 แสนบาท เลยทีเดียว

          อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในจีนบอกว่า สุนัขที่เศรษฐีสาวจีนซื้อนั้น สมควรแพงและเชิดหน้าชูตาเจ้าของว่ารวยจริง เพราะ สุนัขพันธุ์ ทิเบตัน มาสทิฟฟ์  ที่เป็นสายพันธุ์แท้ หายากมา และเชื่อกันว่าในจีนมีไม่ถึง 100 ตัวด้วยซ้ำ

          สุย หุยเจิ้ง เจ้าของธุรกิจส่วนตัวผู้มีสุนัข ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ เกือบ 20 ตัวไว้ในครอบครอง และนำสุนัขของตัวเองเข้าร่วมงานครั้งนี้ด้วย เผยว่า ผมเคยลงทุนเลี้ยงสุนัขพันธุ์ เยอรมัน เชพเพิร์ด แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่ ผิดกับสุนัขทิเบต ซึ่งเป็นพันธุ์ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่มากตอนนี้

          และเพื่อสร้างมูลค่าให้สุนัขทิเบตเหล่านี้ ผู้เพาะพันธุ์ต่างเต็มใจที่จะจ่ายเงินหลายหมื่นดอลลาร์เพื่อจับคู่ให้แก่หมาของตัวเอง โดย สุย หุยเจิ้ง บอกว่า เขาต้องควักกระเป๋าถึง 4.3 หมื่นดอลลาร์ หรือราว 1.4 ล้านบาท เพื่อตั้งบูธ และติดโปสเตอร์ขนาดใหญ่เพื่ออวดสุนัขที่ตัวเองเลี้ยงไว้ให้ผู้สนใจเข้ามาไถ่ถามถึงการผสมพันธุ์ แล้วมันก็ได้ผล เพราะสุนัขพันธุ์ดีที่ชื่อ คิง สามารถทำเงินให้เขาได้ถึง 4 หมื่นดอลลาร์สหรัฐแล้ว แต่ถึงจะมีคนอยากเลี้ยงด้วยสาเหตุต่างต่างนานา แต่สำหรับ สุย เขายอมรับว่า สิ่งที่ทำให้เขาหันมาสนใจเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ เป็นเพราะกำไรงาม ไม่ได้พิศวาสมันเท่าใดนัก




          นอกจากนี้ สำนักข่าวซินหัวของจีน ยังเคยทำข่าวเกี่ยวกับสิ่งที่เศรษฐีหนุ่มชาวจีนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คาดหวังว่าจะต้องมี คือ ภรรยาสาวสวย รถยนต์แลมโบกินี่ และสุนัขทิเบต ด้วยเหตุผลว่า ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ "ใหญ่กว่า ดุกว่า ย่อมดีกว่า" และ "คุณสามารถเรียกมันว่าเป็นสินค้าหรูยี่ห้อท้องถิ่นได้เลยล่ะ สินค้ายี่ห้อหรูกำลังเติบโตในอัตราที่รวดเร็วเป็นประวัติการณ์ และการเป็นเจ้าของสุนัขทิเบต เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือ และอวดสถานะว่าตัวเองรวยขนาดไหน"

          รูเพิร์ธ ฮุเกเวิร์ฟ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีในเซี่ยงไฮ้ ผู้รวบรวมรายชื่อคนรวยในจีน กล่าวว่า นอกจาก ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ จะเป็นเครื่องแสดงถึงความร่ำรวยแล้ว เจ้าสุนัขพันธุ์นี้ ก็ยังมีลักษณะเหมือนเงินทอง ด้วยความที่มันมีขนปุยคล้ายสิงโตตัวผู้ที่มีแผงคอสง่างาม เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความโชคดีในธรรมเนียมของชาวจีน





ขอขอบคุณข้อมุลจาก

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก nzherald.co.nz, luxurylaunches.com


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ สัญลักษณ์แสดงฐานะของเศรษฐีจีน อัปเดตล่าสุด 17 มีนาคม 2557 เวลา 15:37:50
TOP