เพจคนรักสุนัขในอเมริกาออกโรงเตือนให้ระวังฝูงแมลงเต่าทองบุกช่องปากเจ้าตูบ โพสต์ภาพ-ข้อความชวนสะพรึงสำหรับคนรักสุนัข ระบุว่าแมลงเต่าทองมีพิษต่อระบบหายใจของสุนัข ด้านสัตวแพทย์แจง แมลงเต่าทองพันธุ์เอเชียเท่านั้นที่มีพิษ !!
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2558 เว็บไซต์ The Dodo เปิดเผยว่า เฟซบุ๊กแฟนเพจ Hands&Paws ได้โพสต์ภาพและข้อความชวนตะลึงสำหรับเจ้าของมะหมาทั้งหลาย โดยภาพที่โพสต์นั้นเป็นภาพของช่องปากสุนัขตัวหนึ่งที่มีฝูงแมลงเต่าทองสีส้มอมแดงยั้วเยี้ยอยู่เต็มเพดานปากไปหมด พร้อมบรรยายภาพว่า “แมลงเต่าทองญี่ปุ่นสามารถฝังตัวอยู่ในปากสุนัขแบบนี้ได้ และอาจทำให้เจ้าตูบมีอาการน้ำลายไหลเยิ้มอย่างไม่ทราบสาเหตุ แน่นอนว่าแมลงเต่าทองในอเมริกาก็ทำให้หมาของคุณเป็นแบบนี้ได้เหมือนกัน”
ภาพและข้อความนี้ถูกโพสต์ลงในแฟนเพจเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มันถูกแชร์ไปร่วม 3 หมื่นครั้ง และมีการคอมเม้นท์พูดคุยใต้ภาพอีกราว 5 พันครั้งเลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่าชาวเน็ตผู้รักสุนัขในอเมริกานั้นตื่นตะลึงกับเรื่องราวดังกล่าวมากแค่ไหน
แต่หลังจากนั้น แฟนเพจของสมาคมสัตวแพทย์อเมริกัน (American Veterinary Medical Association) ได้ออกมาแถลงเกี่ยวกับภาพถ่ายชวนขนลุกขนพองที่กำลังเป็นประเด็นในโลกออนไลน์ว่า ภาพนี้เป็นภาพเก่าเมื่อราว 7 ปีก่อน และเป็นเพียงเคสเดียวบนโลกใบนี้ที่เคยเกิดขึ้นกับสุนัข และบันทึกการรักษาของเคสดังกล่าวได้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารชื่อ Toxicon โดยระบุว่า
สุนัขพันธุ์ผสมวัย 6 ปีถูกพามารักษาด้วยอาการแสบร้อนในช่องปาก พบแมลงเต่าทองเอเชีย 16 ตัวอยู่บนเพดานปาก พวกมันฝังอยู่แน่นหนา จึงต้องใช้อุปกรณ์ดึงออกมาอย่างยากลำบากทีละตัว เมื่อนำพวกมันออกมาจนหมดแล้วก็พบว่าสุนัขมีบาดแผลบวมแดงจากสารเคมี ซึ่งถูกปล่อยออกมาจากตัวแมลงเต่าทองพันธุ์เอเชียตามกลไกการป้องกันตัวตามธรรมชาติ
นอกจากนี้ ทางสมาคมสัตวแพทย์อเมริกันยังให้ความรู้เพิ่มเติมว่า การปล่อยสารเคมีป้องกันตัวนั้นมีเฉพาะในแมลงเต่าทองพันธุ์เอเชียเท่านั้น หากเป็นแมลงเต่าทองพันธุ์พื้นถิ่นในอเมริกาก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ขอให้คนเลี้ยงสุนัขในอเมริกาไม่ต้องเป็นกังวลและตื่นตระหนกมากจนเกินไป
อย่างไรก็ตามแม้ว่าทางสมาคมสัตวแพทย์อเมริกาจะเผยว่าแมลงเต่าทองพันธุ์เอเชียเท่านั้นจึงจะสามารถปล่อยสารเคมีป้องกันตัวดังกล่าวได้ แต่จากที่รายงานระบุไว้ว่าเหตุการณ์นี้พบเพียงเคสเดียวบนโลกเท่านั้น ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทั่ว ๆ ไป ดังนั้นคนเลี้ยงสุนัขในเอเชียก็ไม่ควรกังวลจนเกินไปเช่นกัน
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Hand&Paws, American Veterinary Medical Association (AVMA)
